Wang Nam Khaew, the Green Water Reservoir of the Northeast


Advertisement
Thailand's flag
Asia » Thailand » North-East Thailand » Nakhon Ratchasima
January 5th 2008
Published: January 5th 2008
Edit Blog Post

"Wang Nam Khaew" or the "Green Water Reservoir" is the ozone concentration area in Mid-Northeast area of Thailand. Its name in Thai "Wang Nam Khaew" means "green water reservoir" which perfectly fit to its nature of beauty and plenty of water reservoir, lake, canel which are scattering aroun this area. Though Wang Nam Khaew has become a famous tourist destination in Thailand, locating in the Nakhorn Ratchasima, the nearest Northeast provice from Bangkok. However, its charm and rural beauty are still virgin and rarely polluted. There are no 4-5 star hotel. Most are small hotel (10-20 rooms), homestay, tent, or farmstay. Convenient store as Seven Eleven, Family Mart which easily found in other tourist area in Thailand are also unavailable. Only small shop owned by local people can be seen hidden along the road.

The main attraction of Wang Nam Khaew are the mountaineous scenery side by side with small river and lake which can hardly be found in any place in Thailand other than the farther area such as Chiang Mai or Chaing Rai in the farest North. Various types of agricultural tourist are the main activities. Mushroom farm, flower garden, vineyard, vegetable farm are commonly found along the road of Wang Nam Khaew. Food is excellent and fresh especially if you choose the ingredient which are commonly avaiable in this village such as fresh vegetable and mushroom. Grape juice is also highly recommended if you have a chance to visit a vineyard. One of the most striking area is the large lake on the way to Tub Larn National Preservation Park. It have its charm of blue lake with mountaineous view as a background with lotus flower floating along the bank. There are also the small swan-boat which you can rent to enjoy the scenery of this virgin lake.
---------------------------------------------------------------------------

วังน้ำเขียว (Wang Nam Khaew or Green Water Reservoir) แหล่งกำเนิดโอโซน หรือต้นกำเนิดแหล่งน้ำของภาคอีสานตอนล่าง ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อ “วังน้ำเขียว” ก็ไม่ได้คิดว่าชื่อจะมีความหมายสื่อถึงอะไรเป็นพิเศษ แต่ภายหลังจากที่ได้ไปสัมผัสถึงทัศนียภาพและดินแดนวังน้ำเขียวแห่งจังหวัดนครราชสีมาหรือโคราชจึงได้เข้าใจว่าทำไมดินแดนแห่งนี้ถึงได้ชื่อว่าวังน้ำเขียว การเดินทางในครั้งนี้ ได้เริ่มต้นจากการที่ได้ยินชื่อเสียงของที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มานานและอยากจะไปมาก แต่ไม่เคยได้ไปเนื่องจากที่พักที่อยากไปพักมักจะเต็มเสมอ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวและวันหยุดสุดสัปดาห์นั้นไม่ต้องพูดถึงเลย เต็มมากๆ ในที่สุดเราก็ได้ตัดสินใจว่าเอาล่ะ ไปเที่ยววันหลังจากวันหยุดยาวปีใหม่ละกัน ได้ผล!! มีห้องว่าง!! ดีใจจัง !! ข้อดีของการไปเที่ยวหลังปีใหม่มีเต็มเหยียด เช่น มีห้องพักว่าง ราคาห้องถูกลงเพราะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ ร้านอาหารไม่แน่น (ไม่มีคนเลย แต่ละร้านมีลูกค้าไม่เกิน 4 - 5 โต๊ะ) ถนนรถว่างมากๆไม่มีรถติดให้หงุดหงิดเลย แต่ไม่ใช่มีแต่ข้อดีนะ ข้อเสียก็มีบ้าง คือ ของกินและของฝากที่เป็นของสด (เช่น เห็ดหอมสด องุ่น) ทุกอย่างหมดหมดเลย เนื่องจากขายให้คนเที่ยวช่วงปีใหม่หมดแล้ว มีน่า โทรถามบริษัททัวร์ไหนๆช่วงปีใหม่ถึงไม่มีทัวร์ไหนมีโปรแกรมหลังปีใหม่เลย ส่วนใหญ่จะบอกว่าต้องรอหลังปีใหม่ 3 สัปดาห์ เป็นอย่างนี้นี่เอง


วังน้ำเขียวแม้ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้ยินชื่อมานาน แต่จริงๆแล้วก็ยังมีความเป็นธรรมชาติและชนบทที่แท้จริงซึ่งแตกต่างจากเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆอื่นๆเช่น หัวหิน หรือ เขาใหญ่อยู่อีกมาก กล่าวคือ หนึ่ง ที่พักไม่ได้เป็นโรงแรม 4-5 ดาวที่เป็นกลุ่มโรงแรมในเครือเหมือนที่อื่น( website ที่พัก http://www.wnk.go.th/retreat.php) ที่พักที่วังน้ำเขียวส่วนใหญ่ยังเป็นที่พักประเภทโรงแรมประมาณ 1-3 ดาว และ Homestay หรือ เต็นท์ มีให้เลือกก็ไม่ได้มากอะไร เนื่องจากมีอยู่ไม่กี่แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่สองทำเล ทำเลหนึ่งคือบริเวณอำเภอวังน้ำเขียวเลย (เข้าได้โดยตรงจากถนน 304) เช่น กระท่อมหินนันทภัค Village Farm & Vinery และอีกทำเลคือบริเวณเขาแผงม้า เช่น วิลล่าเขาแผงม้า ความแตกต่างของสองทำเลคือบริเวณอำเภอส่วนใหญ่จะเป็นที่ราบโดยตั้ง resort อยู่บนที่ราบไล่ลงไปในลำธารหรือทะเลสาบขนาดเล็ก หรือในไร่ฟาร์ม ส่วนทำเลบริเวณเขาแผงม้าจะเป็นที่พักที่ไต่อยู่บนภูเขา เนินเขา ไหล่เขา ซึ่งให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการที่ที่พักยังเป็นที่พักขนาดเล็กๆของชาวบ้านทำให้ที่นี่มีเสน่ห์อย่างมาก เช่น มีอยู่ที่พักหนึ่งทำห้องพักเป็นรูปฟักทอง มะเขือเทศ แต่ข้อเสียก็คือ ที่พักอาจไม่สะอาดเท่าที่ควรหรือใช้ของใช้ที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น ประตูหน้าต่างปิดไม่ได้ หรือ ห้องน้ำสกปรก และที่สำคัญ ไม่รับเครดิตคารด์เนื่องจากไม่มีโทรศัพท์!! เพราะฉะนั้น อย่าลืมพกเงินสดไปพอสำหรับจ่ายค่าที่พักนะ ถ้าหวังจะไปพึ่งเงินพลาสติกอาจจะได้นอนข้างถนน

สอง ไม่มีร้าน Convenient Store หรือ ปั๊มน้ำมัน (ที่ดูเหมือนจะได้มาตรฐานที่เราชินตา) ถนน 304 จากกบินทร์บุรีไปวังน้ำเขียวเกือบ 100 กิโลเมตร ไม่มีปั๊มน้ำมันเลย จะมีบ้างก็เป็นปั๊มชาวบ้านที่ไม่ได้อยู่ข้าง Highway ต้องเลี้ยวเข้าไปในอำเภอ หรือ มีปั๊มขากลับเข้ากรุงเทพฯทำให้ต้องกลับรถไปเติมน้ำมัน ดังนั้น การหวังน้ำบ่อน้ำ หรือมองหาปั๊ม JET เป็นที่พึ่งอันแสนสุขคงจะต้องน้ำตาตก ของใช้ต่างๆก็ไม่ได้หาได้จากร้าน Seven Eleven หรือ Family Mart ที่คุ้นตา แม้กระทั่วในตัวอำเภอวังน้ำเขียวก็ไม่ได้มี Convenient Store ขนาดเล็กที่คุ้นตา จะมีก็แต่ร้านขายของชำชาวบ้านที่คงจะมีขายชากาแฟด้วยเพราะมักจะมีมอเตอร์ไซด์จอดบังหน้าร้านจนแทบจะมองหาไม่เจอ แต่ที่น่าสังเกต คือ มีร้านขายโทรศัพท์มือถือเพียบ!!

สาม ร้านอาหาร! ถ้าหวังจะกินอาหารอร่อยคุ้นปากที่มักจะเจอเวลาไปเที่ยวที่อื่น ที่นี่อาจจะต้องคิดใหม่และกักตุนอาหารไปเองบ้าง เพราะจะมีแต่ร้านอาหารที่เป็นของคนในท้องถิ่นมากๆ ทำให้รสชาติและคุณภาพอาหารแปลกไปบ้าง แต่มีร้านหนึ่งอร่อยมาก คือ Village Farm & Vinery อาหารฝรั่งอร่อยมาก ทั้ง Soup Steak และ Pasta อร่อยกว่าที่โชคชัยฟาร์มเยอะเลย และก็มีที่ชาวบ้านแนะนำว่ามีร้านขนมจีนอร่อยมาก แต่ไม่ได้ชิมเพราะร้านไม่เปิดหลังปีใหม่ (ข้อเสียอีกข้อของการไปเที่ยวหลังปีใหม่)

ที่ฟังมาอาจจะดูเหมือนบ่น แต่ที่บ่นก็เพราะไม่ชิน!! เวลาไปเที่ยวเราก็จะนึกถึงที่พัก อาหาร และ Convenient store นี่นา

คราวนี้มาถึงข้อดีบ้างนะ ข้อดีและความประทับใจนั้นมีมากโข ถ้าให้ไปเที่ยวซ้ำอีกเป็นสิบครั้งก็คงยังอยากไปอีก วังน้ำเขียวให้ความรู้สึกเหมือนไปเที่ยวภาคเหนือของไทย (เชียงใหม่ เชียงราย) โดยไม่ต้องเดินทางไปถึงเชียงใหม่เชียงรายจริงที่ไกลกว่าหลายเท่าตัว บวกกับเสน่ห์เฉพาะตัวอันเป็นที่มาของชื่อวังน้ำเขียว คือ เป็นวังน้ำจริงๆ ขับรถวนไปทางไหนก็เจอแต่ลำน้ำใส ทะเลสาบใหญ่น้อยธรรมชาติสร้างบ้างคนสร้างบ้าง ต้องยอมรับว่าน้ำเยอะจริงๆ แม้จะเป็นหน้าแล้งแล้วแต่ยังมีน้ำเต็มไปหมด เขียวฉอุ่ม อากาศเย็น ดอกไม้สวยและใหญ่มากๆ คงจะชอบอากาศที่นี่จริงถึงได้ใหญ่ขนาดนี้ สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร คือ เที่ยวฟาร์มผักสด เห็ดสด (เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า) สวนดอกไม้ (เบญจมาศ ทานตะวัน) และ ไร่องุ่น

ถนนในเมืองนี้มีเสน่ห์มากๆ เป็นถนนเล็กๆสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ ฟาร์มผัก ผลไม้ และห้วยลำธาร ผู้คนก็อัธยาศัยดี นุ่มนวลอ่อนหวานและเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมาก ร้านต้นไม้ก็ดีมากๆ มีต้นไม้แปลกๆโดยเฉพาะไม้ดอกเพียบ แต่ไม่รู้ว่าถ้าเอาลงมาปลูกข้างล่างจะยังออกดอกไหม

สิ่งที่อยากแนะนำ คือ
1) ร้านอาหารอิ่มสุข บนถนนไปเขาแผงม้า วิวสวยมากๆๆๆ เป็นวิวภูเขาสลับลำหน้าและทุ่งหญ้าสีทอง โอ๊ะ แล้วก็ นำจิ้มแจ่วอร่อยมากๆ อย่าพลาด!!
2) เห็ดหอม อาหารทุกอย่างที่นี่จะใส่เห็ดหอมสด และก็อร่อยมากๆๆ ไม่ควรพลาด จะต้ม ผัด ทอด สลัด เห็ดหอม อร่อยเด็ด
3) อาหารฝรั่งร้าน Village Farm & Vinery ที่รสชาดดีมากๆ ในบรรยากาศบ้านไม้โบราณในสวนองุ่นที่สวนงาม
4) ทะเลสาบบนถนนที่ไปอุทยานแห่งชาติทับลาน สวยและสงบมาก พูดได้เลยว่าเป็นทะเลสาบที่มีเสน่ห์และความงามไม่แพ้ทะเลสาบในต่างประเทศเลย
5) ร้านต้นไม้ดอกไม้ริมถนนที่ไปอุทยานแห่งชาติทับลาน จำชื่อไม่ได้หรอกนะ แต่สังเกตได้ง่ายเนื่องจากมีต้นไม้ดอกไม้ว่าขายด้านหน้ารั้วเยอะมาก แต่ส่วนที่เด็ดมากคือ ต้องเดินเข้าไปในรั้วร้าน ซึ่งเป็นบ้านและสวนต้นไม้ จะเต็มไปด้วยดอกไม้ที่สวยและประหลาดที่มีสีสันจัดและขนาดใหญ่ผิดปกติมากจนน่าตกใจและอดจะชื่นชมไม่ได้ คนขายก็มีความรู้เรื่องต้นไม้ดอกไม้เยอะมาก สามารถตอบได้ทุกคำถาม ขอให้คิดคำถามให้ทันก่อนเถอะ!!
6) วิวภูเขาและลำน้ำจากไร่องุ่นธันยพร (ประมาณ 15 กม. จากถนนสาย 304) บนถนนไปเขาแผงม้าที่ให้ภาพทิวทัศน์ที่เป็นดินแดนแห่งแหล่งน้ำและขุนเขาสลับซับซ้อนจนสุดสายตาที่สวยงาม แสดงความอุดมสมบูรณ์และเขียวชอุ่มที่ธรรมชาติได้สร้างสรรมาอย่างเหมาะเจาะและลงตัว

ข้อควรระวัง
1) ถ้าใครอยากดูกระทิงตามธรรมชาติที่ได้ยินโฆษณาของที่พักในเขาแผงม้า ที่ดูกระทิงจะอยู่ในสถานที่อนุรักษ์ (4 กม จากถนนราบ) ซึ่งรถเก๋งคงจะเข้าไม่ได้ น่าจะต้องขับ Four Wheel Drive ขึ้นไปเองหรือเหมารถสองแถวขึ้นไป
2) ทางกลับ หากเลือกที่จะไม่ใช่ถนนสาย 304 แต่จะออกไปทางมวกเหล็ก (ปากช่อง) ซึ่งระยะทางประมาณ 60 กม. ถนนยังไม่ค่อยดีช่วงก่อนถึงทางเชื่อมเขาใหญ่ (ประมาณ 10 กิโลเมตรที่ยังเป็นทางที่ไม่ค่อยได้มาตรฐาน มีหลุมบ่อ และป้ายบอกทางแย่มาก ไม่รู้เลยว่าควรจะเลี้ยวขวา ซ้าย หรือตรง ในที่สุด ก็เลยต้องใช้การเดาว่าตามถนนที่มีเสาไฟฟ้าก็เลยออกมาจนได้**โล่งอก** แต่ก็มาพบปัญหาอีกอย่าง คือ ทางนี้อ้อมจริงๆ ด้วย อ้อมกว่าใช้ถนน 304 มากๆเลย แถมที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาดูถนนที่มีไร่องุ่น Grand Monte กับ Dairy Farm ซึ่งเข้ามาจากถนนหน้าเขาใหญ่ตามป้าย Mission Hill นั้นก็กลับกลายเป็นถนนที่ไม่สวยเลยเมื่อเทียบกับวังน้ำเขียว แม้ว่าจะยังมีเสน่ห์ที่เป็นถนนคดเคี้ยวตัดเขา และมีบ้านในฟาร์มที่สร้างใหม่ๆแบบแปลกๆสร้างสวยขึ้นบ้าง แต่ในหน้าแล้งนี้ ภูเขาแห้งมาก เป็นสีเหลือกับเทาหมดเลย ทำให้ดูแห้งแล้ง ไม่สวยงามชุ่มน้ำเหมือวังน้ำเขียวเลย




Additional photos below
Photos: 41, Displayed: 23


Advertisement



Tot: 0.065s; Tpl: 0.015s; cc: 5; qc: 44; dbt: 0.0355s; 1; m:domysql w:travelblog (10.17.0.13); sld: 1; ; mem: 1.2mb